รอคอยพระเจ้า

เมื่อประเทศต้องเข้าสู่สงครามกลางเมือง ผู้มีอำนาจได้เกณฑ์ชายคนหนึ่งเข้าเป็นทหาร แต่เขาปฏิเสธว่า “ผมไม่อยากมีส่วนในการทำลาย (ประเทศของผมเอง)” และเขาออกจากประเทศไป แต่เขาต้องไปติดอยู่ที่สนามบินของอีกประเทศหนึ่งเพราะเขาไม่มีวีซ่าเข้าประเทศที่ถูกต้อง เป็นเวลาหลายเดือนที่พนักงานในสนามบินมอบอาหารให้ชายคนนี้ และมีหลายพันคนติดตามทวีตของเขาเมื่อเขาย้ายไปตามอาคารต่างๆในสนามบิน ถักผ้าพันคอ และรอคอยด้วยความหวัง เมื่อได้ยินเรื่องราวของเขา ชุมชนหนึ่งในแคนาดาจึงรวมเงินกันและหางานและบ้านให้เขา

พระธรรมเพลงคร่ำครวญพูดถึงการร้องไห้ของเยเรมีย์ ผู้ซึ่งรอคอยพระเจ้าและรอคอยการสิ้นสุดของบทลงโทษเนื่องจากบาปของประชากรของพระองค์ เยเรมีย์ยังคงเชื่อในองค์พระเจ้านิรันดร์ผู้ที่ท่านรู้ว่าไว้วางใจได้ “พระเจ้าทรงดีต่อคนทั้งปวงที่คอยท่าพระองค์อยู่” (3:25) ประชากรของพระเจ้ามีความหวังใจได้แม้ในเวลาที่ปัญหาท่วมท้น และทางแก้ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ แม้ว่าพวกเขาจะต้องถ่อมใจลงยอมรับการสั่งสอนของพระเจ้า พวกเขาก็ยังยึดในความจริงที่ว่า “ถ้าทำดังนั้นชะรอยจะมีหวัง” (ข้อ 29) คนเหล่านั้นที่รู้จักพระเจ้าจะพบความหวังที่มาจากพระองค์ “เป็นการดีที่จะหวังใจและรอคอยความรอดจากพระเจ้า” (ข้อ 26)

เมื่อไม่มีคำตอบหรือทางออกที่แน่ชัด ให้เรารอคอยพระเจ้าผู้ทรงพิสูจน์พระองค์เองแล้วว่า พระองค์ทรงสัตย์ซื่อในการช่วยเราครั้งแล้วครั้งเล่า

ออกจากความมืด

เรือลากจูงล่มห่างจากชายฝั่งไนจีเรียไปยี่สิบไมล์ โดยพลิกคว่ำขณะจมลงสู่ก้นทะเล ลูกเรือสิบเอ็ดคนจมน้ำเสียชีวิต แต่แฮร์ริสัน โอเคเน พ่อครัวประจำเรือเจอโพรงอากาศและรออยู่ที่นั่น เขามีโค้กเพียงขวดเดียวเป็นเสบียง ไฟฉายทั้งสองอันของเขาดับลงหลังยี่สิบสี่ชั่วโมงแรก เป็นเวลาสามวันอันน่าสะพรึงกลัวที่โอเคเนต้องติดอยู่ในความมืดมิดที่ก้นมหาสมุทรเพียงลำพัง เขาเริ่มหมดหวังตอนทีมนักดำน้ำที่ปฏิบัติภารกิจเก็บกู้ร่างมาพบเขานั่งขดตัวสั่นเทาอยู่ลึกเข้าไปในตัวเรือ

ภาพของโอเคเนที่อยู่ลำพังในความมืดเป็นเวลาหกสิบชั่วโมงนั้นชวนสั่นประสาท เขาบอกกับนักข่าวว่าเขายังคงฝันร้ายจากประสบการณ์สะเทือนขวัญครั้งนั้น แต่คุณจินตนาการออกไหมว่าเขารู้สึกอย่างไรเมื่อเห็นไฟฉายแรงสูงของนักดำน้ำที่สาดทะลุความมืดมิดเข้ามา ช่างเป็นความสุข ความปีติยินดี และความหวัง ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้พยากรณ์ล่วงหน้าไว้ว่าเมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมา “ชน​ชาติ​ที่​ดำเนิน​ใน​ความ​มืด” ทั้งสิ้นจะได้เห็น “ความสว่างยิ่งใหญ่” (9:2) หากเราถูกปล่อยให้ใช้ชีวิตตามอำเภอใจ เราก็จะอาศัยอยู่ใน “​แผ่นดิน​แห่ง​เงา​มัจจุราช” แต่ในพระเยซู “สว่าง​จะ​ได้​ส่อง​มา​” (ข้อ 2)

พระคริสต์ทรงเป็น “ความสว่างของโลก” และในพระองค์ เราไม่ต้องกลัวความมืดอีกต่อไป เพราะเรามี “ความสว่างแห่งชีวิต” (ยน.8:12) เราอาจรู้สึกเหมือนติดกับดักหรือหมดหวัง โดดเดี่ยวหรือท้อแท้ แต่พระเจ้าทรงนำข่าวดีมาให้ พระเยซูทรงพาเราออกจากความมืด และเข้าสู่ความสว่างอันอัศจรรย์ของพระองค์

ชนะความชั่วด้วยความดี

ดร.ดูลิตเติ้ล คือตัวละครที่เป็นแพทย์ซึ่งพูดคุยกับสัตว์ได้ และได้สร้างความสุขให้กับแฟนๆผ่านบรรดาหนังสือ ภาพยนตร์ และละครเวที แต่น้อยคนที่รู้ว่า ฮิวจ์ ลอฟติงผู้เขียนได้แต่งนิทานเรื่องดูลิตเติ้ลนี้ให้กับลูกๆของเขาจากสนามเพลาะอันน่าขนลุกในสงครามโลกครั้งที่ 1 เขากล่าวในจดหมายภายหลังว่า สงครามนั้นเลวร้ายเกินกว่าจะบรรยายในจดหมายได้ เขาจึงแต่งนิทานประกอบภาพแทน เรื่องราวที่แปลกประหลาดและเต็มไปด้วยความสนุกสนานเหล่านี้ เป็นวิธีของลอฟติงในการขจัดความน่าสะพรึงกลัวของสงครามออกไป

เรื่องนี้สร้างแรงบันดาลใจในการได้เห็นคนหนึ่งเคลื่อนไหวต่อกรกับกองกำลังที่คุกคามและน่าเกรงขามซึ่งดูมีพลังเกินกว่าจะขัดขวางได้ เราชื่นชมการยืนหยัดอย่างกล้าหาญนี้ เพราะเรากลัวว่าความอยุติธรรม ความรุนแรง และความโลภจะมีชัย บางครั้งเรากลัวว่าโลกทั้งใบนี้จะถูก “ความชั่วเอาชนะเราได้” (รม.12:21) และความกลัวเหล่านี้จะเกิดขึ้นหากเราถูกทิ้งให้อยู่ลำพัง แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงปล่อยเราไว้ตามลำพัง พระองค์ทรงเติมเต็มเราด้วยพระกำลังของพระองค์ ทรงวางเราไว้ให้ลงมือทำ และเรียกเราให้ “เอาชนะความชั่วด้วยความดี” (ข้อ 21)

เราแต่ละคนเอาชนะความชั่วด้วยความดีได้ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตามที่พระเจ้าทรงบรรจุไว้ในใจเรา บางคนเขียนเรื่องราวที่งดงาม บางคนดูแลคนยากจน บางคนเปิดบ้านต้อนรับผู้คน บางคนแบ่งปันเรื่องราวของพระเจ้าผ่านท่วงทำนอง บทกวี หรือการพูดคุย โดยการที่เรานำความประเสริฐและสันติสุขของพระองค์มาสู่โลกด้วยวิธีต่างๆที่หลากหลายนี้ (ข้อ 18) เราก็ได้เอาชนะความชั่วร้ายแล้ว

พระเจ้าทรงอยู่ทุกหนแห่ง

นักไวโอลินที่ดูธรรมดาคนหนึ่งสวมหมวกเบสบอลและเสื้อยืด เปิดการแสดงอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดินลองฟองพลาซ่าในกรุงวอชิงตัน ดี ซี เขาขยับคันชักสีไปบนสายเพื่อบรรเลงท่วงทำนองอันไพเราะ แต่ผู้คนที่สัญจรไปมาเดินผ่านไปอย่างเร่งรีบและไม่ทันได้สังเกต เขาบรรเลงดนตรีจนจบโดยมีเพียงไม่กี่คนที่หยุดฟัง ผู้คนเหล่านั้นไม่รู้ว่าพวกเขากำลังรีบเร่งเดินผ่านหน้า โจชัว เบลล์ หนึ่งในอัจฉริยะบุคคลด้านดนตรีที่ฝีมือดีที่สุดในยุคนี้ คนที่แสดงดนตรีที่หอสมุดรัฐสภาเมื่อคืนก่อน เบลล์ใช้ไวโอลินที่เล่นยากที่สุดและน่าทึ่งที่สุดในโลกหลายชิ้น โดยใช้ไวโอลินสตราดิวาเรียสรุ่นปีค.ศ. 1713 ซึ่งมีมูลค่าราว 3.5 ล้านดอลลาร์

บ่อยครั้งที่เราไม่รู้ตัวและมองข้ามสิ่งมหัศจรรย์ที่อยู่ตรงหน้าเราไป นี่คือประสบการณ์ของยาโคบขณะที่ท่านเดินทางไปยังเมืองฮาราน (ปฐก.28:10) ท่านหยุดและตั้งค่ายในบริเวณที่ดูธรรมดาเหมือนบริเวณอื่นๆ คือเป็นเพียงที่สำหรับนอนพักค้างแรม แต่พระเจ้าได้ทรงมาปรากฏแก่ท่านในฝันยามค่ำคืน ทรงตรัสว่าเชื้อสายของท่านจะทำให้ “บรรดาพงศ์พันธุ์ของมนุษย์โลก” ได้รับพร (ข้อ 14) พระองค์ยังทรงรับรองกับยาโคบว่าพระองค์จะ “พิทักษ์รักษาเจ้าทุกแห่งหนที่เจ้าไป” (ข้อ 15) เมื่อยาโคบตื่นขึ้น ท่านก็พูดว่า “พระเจ้าทรงสถิต ณ ที่นี้แน่ทีเดียว แต่ข้าหารู้ไม่” (ข้อ 16)

พระเจ้าทรงสถิตอยู่ทุกหนแห่ง “เต็มฟ้าสวรรค์และโลก” (ยรม.23:24) พระองค์สถิตอยู่ในสถานที่ที่ธรรมดาที่สุด คำเชื้อเชิญที่มีมาถึงเราคือจงเปิดตาและเปิดหูของเราเอาไว้เพื่อเฝ้ามองและคอยฟังพระองค์

การเลือกกับผลที่ตามมา

ในปีค.ศ. 1890 ยูจีน ชิฟเฟลิน ผู้ศึกษาเรื่องนกสมัครเล่น ตัดสินใจปล่อยนกกิ้งโครงพันธุ์ยุโรปจำนวนหกสิบตัวเข้าไปในสวนสาธารณะเซ็นทรัลพาร์ค นครนิวยอร์ค แม้จะมีคนเคยนำนกชนิดนี้มาปล่อยหลายสายพันธุ์แล้ว แต่นกกิ้งโครงที่ชิฟเฟลินปล่อย เป็นสายพันธุ์ที่มีการบันทึกว่าสามารถทำรังได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ปัจจุบันมีนกกิ้งโครงประมาณ 85 ล้านตัวบินว่อนไปทั่วยุโรป น่าเสียดายที่พวกมันได้รุกรานและขับไล่ประชากรนกพื้นเมืองออกไป แล้วยังแพร่โรคไปยังวัว และสร้างความเสียหายเป็นมูลค่าสูงถึงแปดร้อยล้านดอลลาร์ต่อปี ชิฟเฟลินไม่คิดว่าการตัดสินใจของตนจะสร้างความเสียหายสูงถึงเพียงนี้

การตัดสินใจเลือกสามารถส่งผลเสียร้ายแรงตามมา แม้จะได้รับคำเตือนแล้ว แต่อาดัมกับเอวาคิดไม่ถึงว่าการเลือกของพวกเขาจะนำหายนะมาถึงสิ่งทรงสร้างทั้งหมด พระเจ้าบอกพวกเขาว่า “บรรดาผลไม้ทุกอย่างในสวนนี้ เจ้ากินได้ทั้งหมด” (ปฐก.2:16) ยกเว้นผลของต้นไม้ที่อยู่ “กลางสวน” (3:3) แต่เมื่อถูกงูล่อลวง “[เอวา]จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน” (ข้อ 6) จากนั้นอาดัมก็ทำตามโดยตัดสินใจกินผลไม้ต้องห้ามนั้น การทำลายล้าง ใจที่แตกสลาย และหายนะมากมายเกิดขึ้นเพราะการเลือกเพียงครั้งเดียว

ทุกครั้งที่เราเพิกเฉยต่อสติปัญญาของพระเจ้าและเลือกเส้นทางอื่น เราก็เชื้อเชิญความหายนะเข้ามา การเลือกของเราอาจดูเหมือนไม่มีนัยสำคัญ หรือส่งผลเฉพาะเราเท่านั้น แต่ความเข้าใจอันจำกัดหรือความปรารถนาเพียงชั่วครู่สามารถนำเราเข้าสู่โลกแห่งปัญหาได้อย่างง่ายดาย ส่วนการเลือกทางของพระเจ้าจะนำเราไปสู่ชีวิตและความเจริญรุ่งเรือง

ใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่

เมื่อซาดิโอ มาเน่ นักฟุตบอลดาวเด่นจากเซเนกัลลงเล่นให้กับทีมลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกอังกฤษนั้น เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นชาวแอฟริกันที่ได้รับค่าตอบแทนสูงที่สุดในโลก โดยทำรายได้หลายล้านดอลล่าร์ต่อปี เมื่อแฟนบอลเห็นภาพมาเน่ถือไอโฟนที่หน้าจอแตก จึงล้อเลียนเรื่องที่เขาใช้อุปกรณ์ที่พังแล้ว เขาตอบอย่างไม่สะทกสะท้านว่า “ทำไมผมต้องอยากได้เฟอร์รารีสิบคัน นาฬิกาฝังเพชรยี่สิบเรือน และเครื่องบินเจ็ทสองลำด้วยเล่า” เขาถาม “ผมเคยหิวโหย เคยทำงานในไร่ วิ่งเล่นเท้าเปล่าและไม่ได้ไปโรงเรียน เวลานี้ผมสามารถช่วยคนอื่นได้ ผมอยากสร้างโรงเรียนและให้คนยากจนได้มีอาหารและเสื้อผ้า...[แบ่งปัน] บางอย่างที่ผมมีในชีวิต”

มาเน่รู้ดีว่าการที่เขากักตุนความมั่งคั่งทั้งสิ้นของตนไว้ช่างเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว ขณะที่เพื่อนบ้านที่บ้านเกิดของเขาอีกมากมายต้องดิ้นรนภายใต้สภาพที่ย่ำแย่ พระธรรมฮีบรูเตือนเราว่าวิถีชีวิตที่เอื้อเฟื้อนี้มีไว้สำหรับเราทุกคน ไม่ใช่สำหรับคนร่ำรวยเท่านั้น “จงอย่าละเลยที่จะกระทำการดี และจงแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน” ผู้เขียนกล่าว “เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” (13:16) ตามพระคัมภีร์แล้วการให้มีจิตใจที่เอื้อเฟื้อไม่เพียงแต่เป็นเรื่องที่สมควรทำ แต่ใจที่เอื้อเฟื้อยังทำให้พระเจ้าทรงยิ้มได้อีกด้วย แล้วใครกันเล่าไม่อยากทำให้พระเจ้าพอพระทัย

ความเอื้อเฟื้อไม่ได้จำกัดแค่เพียงว่าเราให้มากแค่ไหน แต่ความเอื้อเฟื้อหมายถึงท่าทีในหัวใจของเรา สิ่งหนึ่งที่เราทำได้ซึ่ง “เป็นที่ชอบในสายพระเนตร[พระเจ้า ]” (ข้อ 21) คือการยื่นมือออกไปและแบ่งปันในสิ่งที่เรามี

ความรักที่คู่ควรกับชีวิตของเรา

วิลเลี่ยม เทมเปิ้ล บิชอปชาวอังกฤษแห่งศตวรรษที่ 19 เคยสรุปคำเทศนา ให้แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ด้วยเนื้อร้องของเพลง “เมื่อข้าฯเพ่งดูกางเขนประหลาด” แต่เขาได้เตือนพวกนักศึกษาว่าอย่าร้องเพลงนี้แบบขอไปที “ถ้าคุณหมายความตามที่คุณร้องจริงๆจากใจ ก็จงร้องออกมาให้ดังสุดเสียง” เทมเปิ้ลกล่าว “ถ้าคุณไม่ได้หมายความตามนั้นเลย ก็จงเงียบไว้ แต่ถ้าคุณหมายความตามนั้นแม้เพียงเล็กน้อย และต้องการพัฒนาให้มากขึ้น จงร้องมันเบาๆ” ที่ประชุมเงียบเสียงลงขณะที่ทุกคนมองดูเนื้อเพลง แล้วเสียงนับพันก็เริ่มเปล่งออกมาเบาๆ โดยร้องประโยคสุดท้ายด้วยความจริงจังว่า “ความรักพระองค์ประเสริฐนักหนา เรายอมถวายทั้งใจและกาย”

นักศึกษามหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดเหล่านั้นเข้าใจความจริงที่ว่าการเชื่อและติดตามพระเยซูเป็นการตัดสินใจที่สำคัญ เพราะนั่นหมายถึงการยอมรับในความรักสุดขั้วที่เรียกร้องทุกอย่างจากเรา การติดตามพระคริสต์ต้องใช้ทั้งชีวิตและทุกสิ่งที่เป็นเรา พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกอย่างตรงไปตรงมาว่า “​ผู้ใด​ใคร่​ตาม​เรา​มา​ให้​ผู้​นั้น​เอาชนะ​ตัวเอง และ​รับ​กางเขน​ของ​ตน​แบก​และ​ตาม​เรา​มา” (มธ.16:24) ไม่ควรมีใครตัดสินใจแบบขอไปที

แต่การติดตามพระเยซูก็เป็นหนทางที่นำเราไปสู่ความชื่นชมยินดีที่ล้ำลึกที่สุดเช่นกัน เราจะได้พบว่าชีวิตกับพระเยซูนั้นเป็นชีวิตที่เราปรารถนาอย่างแท้จริง ฟังดูเหมือนเป็นความขัดแย้งอย่างมาก แต่หากเราตอบสนองต่อความรักของพระเจ้า เชื่อในพระเยซูคริสต์ และละทิ้งความปรารถนาอันเห็นแก่ตัวและคับแคบของเรา เราก็จะได้พบกับชีวิตที่จิตวิญญาณของเราใฝ่หา (ข้อ 25)

สงครามขนมพาย

ในบรรดาความโง่เขลาทั้งหมดที่เป็นเหตุนำพาประเทศไปสู่สงคราม ขนมพายอาจจะเป็นเรื่องผิดพลาดที่สุดหรือไม่ ในปีค.ศ.1832 ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างฝรั่งเศสกับเม็กซิโก ทหารเม็กซิกันกลุ่มหนึ่งเข้าไปในร้านขนมฝรั่งเศสในเมืองเม็กซิโกซิตี้ และชิมขนมทุกชนิดในร้านโดยไม่จ่ายเงิน แม้ว่ารายละเอียดจะซับซ้อน (และการปลุกปั่นอื่นๆทำให้เกิดปัญหามากขึ้น) แต่ผลลัพธ์คือสงครามครั้งแรกระหว่างฝรั่งเศสกับเม็กซิโก (ปี 1838-39) หรือที่รู้จักกันว่าสงครามขนมพาย มีทหารเสียชีวิตมากกว่าสามร้อยนาย เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ความโกรธในชั่วขณะหนึ่งกระตุ้นให้เกิดสงคราม

ความขัดแย้งส่วนใหญ่ของมนุษย์ทั้งชีวิตสมรสที่พังทลายและมิตรภาพที่ถูกทำลาย ล้วนมีรากฐานมาจากรูปแบบความโกรธที่ไม่ได้ถูกแก้ไข ทั้งความเห็นแก่ตัวและการแสดงอำนาจ ความเข้าใจผิดที่ไม่ได้รับการแก้ไข การดูถูกและการตอบโต้อย่างแข็งกร้าว ล้วนแล้วแต่เป็นความโง่เขลา บางครั้งการรับรู้หรือการตอบโต้ที่ไม่เหมาะสมของเรานำไปสู่ความโกรธที่ทำลายล้าง แต่ปัญญาจารย์ได้ให้ถ้อยคำแห่งปัญญาว่า “อย่าให้ใจของเจ้าโกรธเร็ว เพราะความโกรธมีประจำอยู่ในทรวงอกของคนเขลา” (7:9)

ความขี้โมโหและโกรธง่ายนั้นเป็นเรื่องที่โง่เขลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระเจ้าประทานวิธีที่ดีกว่า บางครั้งก็โดยผ่าน “คำตำหนิของคนที่มีสติปัญญา” (ข้อ 5) เมื่อเราติดตามปัญญา เราก็สามารถ “ให้สันติสุขของพระคริสต์ครองจิตใจ [ของเรา]” (คส.3:15) เราดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญาและการให้อภัยได้เมื่อพระองค์ทรงช่วยเรา

พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา

กระทรวงคมนาคมสหรัฐรายงานว่า ในปี 2021 สายการบินสหรัฐจัดการกระเป๋ากว่าสองล้านใบผิดพลาด ขอบคุณพระเจ้าที่กระเป๋าหลายใบเพียงแค่ล่าช้าหรือหายไปในระยะเวลาไม่นาน แต่กระเป๋าหลายพันใบหายไปตลอดกาล จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ตลาดของอุปกรณ์จีพีเอสเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยนำไปใส่ไว้ในสิ่งของต่างๆและช่วยให้คุณติดตามกระเป๋าได้แม้สายการบินจะหยุดการตามหา เราทุกคนต่างกลัวว่าจะไม่สามารถไว้ใจคนที่ทำหน้าที่ติดตามสิ่งของสำคัญได้

คนอิสราเอลก็มีความกลัวที่คล้ายกันต่อพระเจ้า พวกเขากลัวว่าพระองค์จะทอดทิ้งพวกเขา เมื่อประชาชนเตรียมตัวเข้าสู่แผ่นดินใหม่ โมเสสบอกข่าวที่สร้างความกังวลใจว่าท่านจะไม่ได้นำพวกเขาเข้าไป โดยอธิบายว่าท่านชราแล้วและ “ไม่สามารถเป็นผู้นำของท่านได้อีกต่อไป” (ฉธบ.31:2 TNCV) ประชาชนต่างตกตะลึง โมเสสเป็นตัวแทนถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าและประกาศถ้อยคำของพระองค์ พระเจ้าทรงลืมพวกเขาแล้วหรือไม่ พระองค์จะทรงทอดทิ้งพวกเขาในถิ่นทุรกันดารเช่นนั้นหรือ

“อย่ากลัวหรืออย่าครั่นคร้าม” โมเสสกล่าว “เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย” (ข้อ 6) ท่านสัญญาว่าพระเจ้าจะอยู่กับพวกเขาเสมอและยืนยันกับพวกเขาว่าพระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งพวกเขา และในพระเยซู พระเจ้าทรงให้สัญญาอันมั่นคงและไม่เปลี่ยนแปลงเดียวกันนี้กับเรา พระคริสต์จะอยู่กับเรา “จนกว่าจะสิ้นยุค” (มธ.28:20) พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งเรา ไม่มีวัน

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา