สงครามขนมพาย

ในบรรดาความโง่เขลาทั้งหมดที่เป็นเหตุนำพาประเทศไปสู่สงคราม ขนมพายอาจจะเป็นเรื่องผิดพลาดที่สุดหรือไม่ ในปีค.ศ.1832 ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างฝรั่งเศสกับเม็กซิโก ทหารเม็กซิกันกลุ่มหนึ่งเข้าไปในร้านขนมฝรั่งเศสในเมืองเม็กซิโกซิตี้ และชิมขนมทุกชนิดในร้านโดยไม่จ่ายเงิน แม้ว่ารายละเอียดจะซับซ้อน (และการปลุกปั่นอื่นๆทำให้เกิดปัญหามากขึ้น) แต่ผลลัพธ์คือสงครามครั้งแรกระหว่างฝรั่งเศสกับเม็กซิโก (ปี 1838-39) หรือที่รู้จักกันว่าสงครามขนมพาย มีทหารเสียชีวิตมากกว่าสามร้อยนาย เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ความโกรธในชั่วขณะหนึ่งกระตุ้นให้เกิดสงคราม

ความขัดแย้งส่วนใหญ่ของมนุษย์ทั้งชีวิตสมรสที่พังทลายและมิตรภาพที่ถูกทำลาย ล้วนมีรากฐานมาจากรูปแบบความโกรธที่ไม่ได้ถูกแก้ไข ทั้งความเห็นแก่ตัวและการแสดงอำนาจ ความเข้าใจผิดที่ไม่ได้รับการแก้ไข การดูถูกและการตอบโต้อย่างแข็งกร้าว ล้วนแล้วแต่เป็นความโง่เขลา บางครั้งการรับรู้หรือการตอบโต้ที่ไม่เหมาะสมของเรานำไปสู่ความโกรธที่ทำลายล้าง แต่ปัญญาจารย์ได้ให้ถ้อยคำแห่งปัญญาว่า “อย่าให้ใจของเจ้าโกรธเร็ว เพราะความโกรธมีประจำอยู่ในทรวงอกของคนเขลา” (7:9)

ความขี้โมโหและโกรธง่ายนั้นเป็นเรื่องที่โง่เขลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระเจ้าประทานวิธีที่ดีกว่า บางครั้งก็โดยผ่าน “คำตำหนิของคนที่มีสติปัญญา” (ข้อ 5) เมื่อเราติดตามปัญญา เราก็สามารถ “ให้สันติสุขของพระคริสต์ครองจิตใจ [ของเรา]” (คส.3:15) เราดำเนินชีวิตด้วยสติปัญญาและการให้อภัยได้เมื่อพระองค์ทรงช่วยเรา

พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา

กระทรวงคมนาคมสหรัฐรายงานว่า ในปี 2021 สายการบินสหรัฐจัดการกระเป๋ากว่าสองล้านใบผิดพลาด ขอบคุณพระเจ้าที่กระเป๋าหลายใบเพียงแค่ล่าช้าหรือหายไปในระยะเวลาไม่นาน แต่กระเป๋าหลายพันใบหายไปตลอดกาล จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ตลาดของอุปกรณ์จีพีเอสเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยนำไปใส่ไว้ในสิ่งของต่างๆและช่วยให้คุณติดตามกระเป๋าได้แม้สายการบินจะหยุดการตามหา เราทุกคนต่างกลัวว่าจะไม่สามารถไว้ใจคนที่ทำหน้าที่ติดตามสิ่งของสำคัญได้

คนอิสราเอลก็มีความกลัวที่คล้ายกันต่อพระเจ้า พวกเขากลัวว่าพระองค์จะทอดทิ้งพวกเขา เมื่อประชาชนเตรียมตัวเข้าสู่แผ่นดินใหม่ โมเสสบอกข่าวที่สร้างความกังวลใจว่าท่านจะไม่ได้นำพวกเขาเข้าไป โดยอธิบายว่าท่านชราแล้วและ “ไม่สามารถเป็นผู้นำของท่านได้อีกต่อไป” (ฉธบ.31:2 TNCV) ประชาชนต่างตกตะลึง โมเสสเป็นตัวแทนถึงการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าและประกาศถ้อยคำของพระองค์ พระเจ้าทรงลืมพวกเขาแล้วหรือไม่ พระองค์จะทรงทอดทิ้งพวกเขาในถิ่นทุรกันดารเช่นนั้นหรือ

“อย่ากลัวหรืออย่าครั่นคร้าม” โมเสสกล่าว “เพราะว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน พระองค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้มเหลวหรือทอดทิ้งท่านเสีย” (ข้อ 6) ท่านสัญญาว่าพระเจ้าจะอยู่กับพวกเขาเสมอและยืนยันกับพวกเขาว่าพระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งพวกเขา และในพระเยซู พระเจ้าทรงให้สัญญาอันมั่นคงและไม่เปลี่ยนแปลงเดียวกันนี้กับเรา พระคริสต์จะอยู่กับเรา “จนกว่าจะสิ้นยุค” (มธ.28:20) พระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งเรา ไม่มีวัน

วันที่ 4 - ไม่เคยถูกทอดทิ้ง

มัทธิว 27:46

ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า... “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

ขณะคุณปู่ของผมกำลังจะเสียชีวิต ผมไปยังสถานพยาบาลของท่านเพื่อบอกลา ทางเดินว่างเปล่า ห้องได้รับการฆ่าเชื้อ แสงนีออนสว่าง พื้นปูลามิเนต มีต้นไม้กระถางหนึ่ง และรูปครอบครัวใบหนึ่ง ทั้งสถานที่มีแต่กลิ่นน้ำส้มสายชูและมะนาว ผมไม่เคยเห็นใครเสียชีวิตมาก่อน แต่ผมได้ยินเสียงหายใจติดขัดแห่งวาระสุดท้ายและเห็นดวงตาของท่านที่ลึกโหลลงไป ผมอยากบอกลา อยากบอกให้ท่านรู้ว่า (แม้ผมไม่คิดว่าท่านรู้สึกตัว) แม้ในสถานที่อันหม่นหมองแห่งนี้ ท่านก็ไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพัง

อะไรจะเลวร้ายไปกว่าความรู้สึกโดดเดี่ยวในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด พระเยซูทรงรู้สึกถึงความทุกข์ระทมนี้อย่างแท้จริง จากไม้กางเขน พระองค์ทรงร้องว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" (มัทธิว 27:46) พระองค์ไม่เพียงแสดงความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งออกมา แต่ยังสะท้อนความเจ็บปวดของโลกด้วย พระคริสต์ไม่ได้ตรัสตามอารมณ์ขณะนั้น แต่พระองค์กำลังตรัสคำอธิษฐานของอิสราเอล (สดุดี 22:1) พระองค์ทรงสะท้อนความกลัวของอิสราเอลที่ว่าพระเจ้าจะทรงทอดทิ้งพวกเขา และพระองค์กำลังอธิษฐานร่วมกับเรา ทรงตรัสถึงความกลัวเดียวกันนี้ที่เราแต่ละคนต้องเผชิญในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ในยามที่เราสูญเสียลูก หรือการแต่งงานล้มเหลว เรากลัวว่าพระเจ้าไม่ทรงอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะความโดดเดี่ยวของพระเยซูบนไม้กางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ที่จะตามมานี่เอง ที่ให้คำตอบแก่เราในยามทุกข์ใจ เราอาจรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง แต่พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเราเสมอ แม้ในหุบเขาเงามัจจุราช เราไม่เคยถูกทอดทิ้ง

วินน์ โคลิเออร์

ใคร่ครวญ : คุณเคยรู้สึกถูกทอดทิ้งอย่างไรบ้าง พระเจ้าทรงมาพบคุณในสถานที่ที่คุณรู้สึกถูกทอดทิ้งนั้นอย่างไร
อธิษฐาน :พระเจ้าที่รัก ข้าพระองค์เข้าใจความรู้สึกของการถูกทอดทิ้ง…

วันที่ 4 - ไม่เคยถูกทอดทิ้ง

มัทธิว 27:46

ครั้นประมาณบ่ายสามโมง พระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า... “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย”

ขณะคุณปู่ของผมกำลังจะเสียชีวิต ผมไปยังสถานพยาบาลของท่านเพื่อบอกลา ทางเดินว่างเปล่า ห้องได้รับการฆ่าเชื้อ แสงนีออนสว่าง พื้นปูลามิเนต มีต้นไม้กระถางหนึ่ง และรูปครอบครัวใบหนึ่ง ทั้งสถานที่มีแต่กลิ่นน้ำส้มสายชูและมะนาว ผมไม่เคยเห็นใครเสียชีวิตมาก่อน แต่ผมได้ยินเสียงหายใจติดขัดแห่งวาระสุดท้ายและเห็นดวงตาของท่านที่ลึกโหลลงไป ผมอยากบอกลา อยากบอกให้ท่านรู้ว่า (แม้ผมไม่คิดว่าท่านรู้สึกตัว) แม้ในสถานที่อันหม่นหมองแห่งนี้ ท่านก็ไม่ได้อยู่คนเดียวตามลำพัง

อะไรจะเลวร้ายไปกว่าความรู้สึกโดดเดี่ยวในช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุด พระเยซูทรงรู้สึกถึงความทุกข์ระทมนี้อย่างแท้จริง จากไม้กางเขน พระองค์ทรงร้องว่า "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" (มัทธิว 27:46) พระองค์ไม่เพียงแสดงความรู้สึกที่ถูกทอดทิ้งออกมา แต่ยังสะท้อนความเจ็บปวดของโลกด้วย พระคริสต์ไม่ได้ตรัสตามอารมณ์ขณะนั้น แต่พระองค์กำลังตรัสคำอธิษฐานของอิสราเอล (สดุดี 22:1) พระองค์ทรงสะท้อนความกลัวของอิสราเอลที่ว่าพระเจ้าจะทรงทอดทิ้งพวกเขา และพระองค์กำลังอธิษฐานร่วมกับเรา ทรงตรัสถึงความกลัวเดียวกันนี้ที่เราแต่ละคนต้องเผชิญในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง ในยามที่เราสูญเสียลูก หรือการแต่งงานล้มเหลว เรากลัวว่าพระเจ้าไม่ทรงอยู่ด้วย

อย่างไรก็ตาม เป็นเพราะความโดดเดี่ยวของพระเยซูบนไม้กางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ที่จะตามมานี่เอง ที่ให้คำตอบแก่เราในยามทุกข์ใจ เราอาจรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง แต่พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นความจริงที่ว่า พระเจ้าทรงอยู่กับเราเสมอ แม้ในหุบเขาเงามัจจุราช เราไม่เคยถูกทอดทิ้ง

วินน์ โคลิเออร์

ใคร่ครวญ : คุณเคยรู้สึกถูกทอดทิ้งอย่างไรบ้าง พระเจ้าทรงมาพบคุณในสถานที่ที่คุณรู้สึกถูกทอดทิ้งนั้นอย่างไร
อธิษฐาน :พระเจ้าที่รัก ข้าพระองค์เข้าใจความรู้สึกของการถูกทอดทิ้ง…

สะท้อนพระเมตตาของพระเจ้า

ในสงครามฤดูหนาวสามเดือนกับรัสเซีย (ค.ศ.1939-1940) ทหารฟินแลนด์นายหนึ่งนอนบาดเจ็บอยู่ในสนามรบ ทหารรัสเซียเดินตรงมาทางเขาพร้อมกับเล็งปืนไรเฟิลมา ทหารฟินแลนด์แน่ใจว่าชีวิตเขาคงจะจบสิ้นแล้ว แต่ทหารรัสเซียกลับมอบชุดปฐมพยาบาลให้แล้วจากไป น่าแปลกที่ต่อมาทหารฟินแลนด์นายนี้พบว่าตนเองอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายกันอีกครั้ง เพียงแต่สลับบทบาท เขาพบทหารรัสเซียนอนบาดเจ็บอย่างหมดหนทางในสนามรบ เขาจึงมอบชุดปฐมพยาบาลให้แล้วเดินจากไป

พระเยซูประทานหลักการสำคัญที่เป็นแนวทางสำหรับชีวิตของเราคือ “จงปฏิบัติต่อผู้อื่น อย่างที่ท่านปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อท่าน” (มธ.7:12) คุณนึกภาพออกไหมว่าโลกจะต่างไปจากนี้เพียงใดหากผู้เชื่อทำตามหลักการง่ายๆข้อนี้ เราคาดการณ์ได้ไหมว่าการกดขี่จะลดลงเพียงใดหากเราร่วมใจกันเชื่อฟังสติปัญญาจากพระเยซู ถ้าเพียงแต่เราจะทำตามที่พระองค์ทรงสอนเรา โดยแสดงความเห็นอกเห็นใจและความเมตตาต่อผู้อื่นซึ่งเราหวังว่าจะได้รับเช่นกัน ขณะที่เรา “ให้ของดี” แก่ผู้อื่น เราก็สะท้อนพระทัยของ “พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ [ผู้ประทาน]ของดีแก่ผู้ที่” พระองค์ทรงรัก (ข้อ 11)

เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่เราไม่ควรมองว่าผู้อื่นเป็นศัตรู คนแปลกหน้า หรือผู้คนที่เราแข่งขันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรหรือโอกาส แต่ควรมองว่าพวกเขาต้องการความเมตตาและน้ำใจเช่นเดียวกับที่เราต้องการ เมื่อทำเช่นนั้นท่าทีและมุมมองของเราก็จะเปลี่ยนไป และโดยการจัดเตรียมของพระเจ้า เราก็จะเต็มใจมอบความรักที่พระองค์ทรงเต็มพระทัยประทานแก่เราให้กับพวกเขา

จดจำพระเจ้า

ผมบินไปอินเดียซึ่งเป็นดินแดนที่ไม่เคยไปมาก่อน และมาถึงสนามบินเบงกาลูรูหลังเที่ยงคืน แม้จะได้มีการติดต่อกันทางอีเมลมาก่อน แต่ผมไม่รู้ว่าใครจะมารับผมหรือว่าผมควรไปพบคนๆนั้นที่ไหน ผมเดินตามมวลมหาชนที่หลั่งไหลไปยังจุดรับกระเป๋าและด่านศุลกากร จากนั้นก็ออกไปสู่ค่ำคืนที่ร้อนชื้นพยายามมองหาสายตาที่เป็นมิตรท่ามกลางฝูงชนจำนวนมาก ผมเดินไปเดินมาอยู่หน้ากลุ่มคนเหล่านั้นเป็นชั่วโมงและหวังว่าจะมีคนจำผมได้ ในที่สุดชายใจดีก็เข้ามาหาและถามว่า “คุณวินน์ใช่ไหมครับ ผมขอโทษจริงๆ ผมคิดว่าจะจำคุณได้ และคุณเดินอยู่ข้างหน้าผมตลอด แต่คุณดูไม่เหมือนที่ผมคิดไว้เลย”

พวกเรามักจะสับสนเป็นประจำและไม่รู้จักบุคคลหรือสถานที่ที่เราควรรู้ แต่พระเจ้าได้ทรงเตรียมวิธีที่เราจะจำพระองค์ได้อย่างไม่ผิดพลาด พระองค์เสด็จมาในโลกของเราในฐานะพระเยซูผู้ทรง “​เป็น​แสง​สะท้อน​พระ​สิริ​ของ​พระ​เจ้า และ​ทรง​มี​สภาวะ​เป็น​พิมพ์​เดียว​กัน​กับ​พระ​องค์” (ฮบ.1:3) พระคริสต์ทรงเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระเจ้า เมื่อเราเห็นพระองค์ เรามั่นใจได้อย่างเต็มที่ว่าเราได้เห็นพระเจ้า

ถ้าเราอยากรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นอย่างไร พระองค์จะตรัสอะไร และจะทรงแสดงความรักอย่างไร เราก็เพียงแค่ดูและฟังพระเยซูเท่านั้น เรากำลังได้ยินสิ่งที่ “[พระเจ้า]ได้ตรัส” (ข้อ 2) ผ่านทางพระบุตรจริงหรือไม่ เรากำลังติดตามความจริงของพระองค์อยู่แน่หรือ การที่เราจะแน่ใจได้ว่าเราจดจำพระเจ้าได้คือ ให้เราเพ่งมองไปที่พระบุตรและเรียนรู้จากพระองค์

พระสัญญาเหนือความพังทลาย

เมื่อพายุเฮอริเคนลอร่าพัดกระหน่ำผ่านอ่าวเม็กซิโกมุ่งหน้าสู่แนวชายฝั่งทะเลของรัฐหลุยเซียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา มีการเตือนภัยถึงระดับความรุนแรงเนื่องด้วยกระแสลมที่พัดแรง 241 กิโลเมตรต่อชั่วโมง นายอำเภอคนหนึ่งจึงประกาศเตือนด้วยข้อความที่น่าตกใจว่า “กรุณาออกจากพื้นที่ แต่ถ้าคุณเลือกที่จะอยู่และเราไม่สามารถเข้าถึงคุณได้ กรุณาเขียนชื่อ ที่อยู่ เลขประกันสังคม และชื่อญาติสนิท ใส่ไว้ในถุงซิปล็อกเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงของคุณ และอธิษฐานขอให้ไม่ต้องใช้มัน” ทีมกู้ภัยรู้ว่าเมื่อพายุลอร่ามาถึงฝั่ง พวกเขาทำได้แค่เพียงมองดูเส้นทางการทำลายล้างของพายุโดยไม่อาจช่วยอะไรได้

เมื่อใดก็ตามที่ประชากรของพระเจ้าในพันธสัญญาเดิมเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือในฝ่ายวิญญาณ พระดำรัสของพระองค์นั้นมั่นคงและเปี่ยมด้วยความหวังมากยิ่งกว่า โดยทรงสัญญาถึงการสถิตอยู่ด้วยแม้ในภาวะที่ถูกทำลายนั้น พระองค์ตรัสว่าจะทรง “เล้าโลมที่ทิ้งร้างทั้งสิ้นของเธอ และจะทำถิ่นทุรกันดารของเธอเหมือนสวนเอเดน” (อสย.51:3) และยิ่งไปกว่านั้นพระเจ้าทรงยืนยันกับคนของพระองค์เสมอถึงการช่วยกู้และการรักษาที่จะมาถึงหากพวกเขาวางใจในพระองค์ แม้ว่า “ฟ้าสวรรค์จะศูนย์สิ้นไปเหมือนควัน” พระองค์ตรัส “ความรอดของ[พระองค์]จะอยู่เป็นนิตย์” (ข้อ 6) ไม่ว่าความเสียหายจะเป็นเช่นไร ก็จะไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นความเลิศประเสริฐของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ได้เลย

พระเจ้าไม่ได้กันเราจากความยากลำบาก แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าการฟื้นฟูรักษาของพระองค์นั้นจะมากยิ่งกว่าความพังทลายทั้งปวง

ความรักเข้มแข็งอย่างความตาย

หากคุณได้เดินเล่นไปตามกำแพงอิฐเก่าที่ทอดยาวกั้นระหว่างสุสานโปรเตส-แตนต์และสุสานคาทอลิกในเมืองโรมอนด์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ คุณจะพบภาพหนึ่งที่น่าสนใจ คือภาพแผ่นหินจารึกหน้าหลุมศพที่สูงตระหง่านสองแผ่นวางติดกำแพงสองฝั่ง แผ่นหนึ่งสำหรับสามีโปรเตสแตนต์ และอีกแผ่นหนึ่งสำหรับภรรยาคาทอลิก ธรรมเนียมปฏิบัติในช่วงศตวรรษที่ 19 กำหนดว่าพวกเขาจะต้องฝังในสุสานที่แยกจากกัน แต่พวกเขาไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น แผ่นหินหน้าหลุมศพที่ไม่ธรรมดานี้จึงสูงเหนือกำแพงที่เป็นรั้วกั้น เพื่อว่าที่ด้านบนสุดจะมีช่องว่างเพียงประมาณหนึ่งหรือสองฟุตเท่านั้นที่แยกพวกเขาออกจากกัน ที่ด้านบนสุดของแผ่นหินทั้งสอง มีการแกะสลักเป็นรูปแขนที่ยื่นออกไปจับมือกันไว้ ทั้งคู่ปฏิเสธที่จะแยกจากกันแม้ในความตาย

เพลงซาโลมอนอธิบายถึงพลังแห่งความรัก ซาโลมอนกล่าวว่า “เพราะความรักนั้นเข้มแข็งอย่างความตาย ความรักรุนแรงก็ดุเดือดเหมือนแดนคนตาย” (8:6) รักแท้นั้นทรงพลังและรุนแรง “ประกายแห่งความรักรุนแรงนั้นก็คือประกายเพลิง” (ข้อ 6) รักแท้ไม่มีวันยอมแพ้ ไม่นิ่งเงียบ และไม่อาจถูกทำลายได้ ซาโลมอนได้เขียนไว้ว่า “น้ำมากหลายไม่อาจดับความรักให้มอดเสียได้ อุทกธารทั้งหลายไม่อาจท่วมความรักให้สำลักตายเสียได้” (ข้อ 7)

“พระเจ้าทรงเป็นความรัก” (1 ยอห์น 4:16) ความรักที่แข็งแกร่งที่สุดของเราเป็นเพียงภาพสะท้อนถึงเศษเสี้ยวของความรักอันทรงพลังที่พระองค์มีต่อเรา พระองค์ทรงเป็นแหล่งที่มาทั้งหมดของความรักที่แท้จริงและมั่นคง

เวลาที่ถูกใช้อย่างคุ้มค่า

วันที่ 14 มีนาคม 2019 จรวดของนาซ่าถูกจุดระเบิดขึ้นเพื่อส่งนักบินอวกาศคริสติน่า คอชขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ คอชจะไม่กลับมาที่โลกเป็นเวลา 328 วัน นี่ทำให้เธอเป็นผู้หญิงที่มีสถิติการบินในอวกาศเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานที่สุด ทุกวันเธอใช้ชีวิตอยู่เหนือจากพื้นโลกประมาณ 408 กิโลเมตร มีหน้าจอคอยจับเวลาของนักบินอวกาศทุกห้านาที เธอมีรายการที่ต้องทำมากมาย(ตั้งแต่กินข้าวไปจนถึงการทดลอง) แต่ละชั่วโมงผ่านไป เส้นสีแดงขยับทีละนิดบนหน้าจอเพื่อแสดงว่าคอชกำลังนำหน้าหรือตามหลังตารางงาน ไม่มีการเสียเวลาเลย

แน่นอนว่าอัครทูตเปาโลไม่แนะนำให้มีสิ่งที่รุกล้ำชีวิตเหมือนกับเส้นสีแดงนี้ที่กำหนดชีวิตเรา แต่ท่านก็หนุนใจให้เราใช้เวลาอันมีค่าที่มีอย่างจำกัดด้วยความระมัดระวัง “เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี” ท่านเขียน “อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา จงฉวยโอกาส เพราะว่าทุกวันนี้เป็นกาลที่ชั่ว” (อฟ.5:15-16) พระปัญญาของพระเจ้าชี้แนะให้เราใช้แต่ละวันด้วยความตั้งใจและระมัดระวัง เพื่อฝึกฝนที่จะเชื่อฟังพระองค์ ที่จะรักเพื่อนบ้าน และเพื่อจะมีส่วนร่วมในพันธกิจแห่งการทรงไถ่ของพระเยซูที่ยังดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่องบนโลกนี้ แต่น่าเศร้าใจที่เรามีแนวโน้มที่จะละเลยคำแนะนำแห่งสติปัญญาและใช้เวลาอย่างโง่เขลา (ข้อ 17) โดยการเสียเวลาไปกับการไล่ตามสิ่งที่เห็นแก่ตัวและไม่เป็นผลดี

ประเด็นสำคัญไม่ใช่การกระวนกระวายอยู่กับเรื่องเวลา แต่คือการติดตามพระเจ้าด้วยความเชื่อฟังและไว้วางใจ พระองค์จะช่วยให้เราใช้ทุกวันอย่างคุ้มค่า

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา